"ผมพลาดเป้ามามากกว่า 9,000 ครั้งตลอดอาชีพของผม เคยพ่ายแพ้ในเกมการแข่งขันมามากกว่า 300 เกมและมีถึง 26 เกมด้วยกันที่ผมเป็นคนชู้ตลูกโทษ แล้วก็พลาด! ผมล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า แต่นั่นแหล่ะ คือเหตุผลที่ผมประสบความสำเร็จได้อย่างทุกวันนี้"
นั่นเป็นข้อความจากอินสตาแกรมของ เปาโล ดีบาล่า ที่โพสต์ไว้หลังจากตัวเขาพลาดจุดโทษในนัดที่แพ้ ลาซิโอ คาบ้านเมื่อหลายปีก่อน โดย ดีบาล่า เองหยิบยืมประโยคนี้มาจาก ไมเคิ่ล จอร์แดน อดีต นักบาสเกตบอล ชื่อดังที่เคยหล่นวาทะสุดคลาสสิคนี้ไว้เมื่อนานมาแล้ว
ลุกขึ้นแล้วสู้ต่อ!
คือสิ่งที่เด็กหนุ่มเจ้าของฉายา "ลา โฮย่า" คนนี้ยึดเหนี่ยวมาตั้งแต่เริ่มเล่นฟุตบอลที่อาร์เจนตินา เพราะในช่วงชีวิต 26 ปีของเขานั้นผ่านเรื่องราวอะไรมามากเกินอายุจริง ๆ
________________________________
- การต่อสู้ในวัยเด็ก -
เด็กชาย "เปาโล บรูโน่ เอ็กซ์เซเกล ดีบาล่า" ลืมตาดูโลกที่ ลากูน่า ลาก้า ชุมชนเล็กๆ ใน คอร์โดบา, อาร์เจนติน่า สายเลือดของเขาทางฝั่งคุณปู่นั้นอพยพจาก โปแลนด์ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 คุณยายมีเชื้อ อิตาเลียน ส่วนตัวเขาเองเกิดที่ อาร์เจนติน่า นั่นจึงทำให้เขาสามารถเลือกเล่นได้ถึง 3 ชาติเลยทีเดียว
ดีบาล่า เริ่มต้นเล่นฟุตบอลตั้งแต่ 5 ขวบ และเคยได้รับความสนใจจาก นีเวลล์ โอลด์ บอยส์ ทีมที่เคยปลุกปั้น ดีเอโก้ มาราโดน่า กับ ลิโอเนล เมสซี่ มาแล้ว แต่สุดท้าย ดีบาล่า กับคุณพ่อของเขาเลือกที่จะปฏิเสธมัน
"คุณพ่อของผมมองว่าผมยังเด็กเกินไปถ้าต้องไปอยู่คนเดียวที่ โรซาริโอ และอาจทำให้ผมเกิดโรคโฮมซิคเหมือนกับพี่ชายของผม" สุดท้ายแล้ว ดีบาล่า จึงเลือกเซ็นสัญญากับสโมสร อินสติตูโต้ ในบ้านเกิดแทน
แม้จะเล่นในดิวิชั่น 2 ของลีก อาร์เจนติน่า แต่ ดีบาล่า บนวัยเพียงแค่ 15 กลับต้องพบกับความสูญเสียครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิต นั่นก็คือการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของคุณพ่อบังเกิดเกล้าด้วยโรคมะเร็งตับอ่อน
"มันยากลำบากมากในตอนนั้น ผมเกือบเลิกเล่นฟุตบอลแล้วกลับมาช่วยงานที่บ้าน แต่ทุกๆ คนในครอบครัวไม่เห็นด้วย เพราะเขาอยากให้ผมทำตามความฝันของคุณพ่อให้สำเร็จ นั่นคือการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ"
________________________________
- การต่อสู้ในอินสติตูโต้ -
ดีบาล่า ใช้พรสวรรค์บวกกับพรแสวงเร่งตัวเองขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ของ อินสติตูโต้ อย่างรวดเร็ว เมื่อตอนอายุแค่ 17 เขาทำลายสถิติทุกอย่างของสโมสรลงอย่างบ้าคลั่ง
ลงสนามติดต่อกันนานที่สุดถึง 38 นัด, ยิงประตูติดต่อกัน 6 นัด, ทำได้ 2 แฮตทริก, ยิง 17 ประตูจากการเล่นชุดใหญ่ปีแรก และขึ้นทำเนียบเป็นนักเตะที่อายุน้อยที่สุดที่ยิงแฮตทริคได้อีกต่างหาก
"ผมยังคงร้องไห้คิดถึงพ่ออยู่เสมอ หลายๆ ครั้งผมฝันเห็นเขาแล้วตื่นมากลางดึกพร้อมคราบน้ำตา ผมคิดว่าเขาคงเฝ้ามองผมจากบนนั้นและคงมีความสุขที่เห็นผมเติบโตขึ้นในทุกๆ วันบนเส้นทางสายนี้"
แม้จะโชว์ฟอร์มได้สุดสะเด่าเร่าร้อนขนาดนั้น แต่ความผิดหวังมักจะเข้ามาทดสอบหัวจิตหัวใจของเขาอยู่เสมอ
"เปาโล เป็นนักเตะที่มีแพสชั่นกับเกมสูงมาก วันที่เรา ( อินสติตูโต้ ) พลาดในเกมสุดท้ายทำให้อดเลื่อนชั้นนั้น เขาร้องไห้ออกมาไม่หยุด เพราะเขาคาดหวังกับการเล่นในลีกสูงสุดมาก จนผมต้องเข้าไปปลอบเขา มันเลวร้ายมากจริงๆ กับความผิดหวังในตอนนั้น แต่ผมคิดว่านั่นคงช่วยทำให้เขาโตขึ้นอีกเยอะเลย"
ดาริโอ ฟรังโก้ โค้ชของทีมเล่าถึงเหตุการณ์ที่ทำให้ ดีบาล่า ต้องพบกับความผิดหวังในเกมฟุตบอลเป็นครั้งแรก
________________________________
- การต่อสู้บนเวทีลีกเลี่ยน -
เมื่อครั้งที่ ปาแลร์โม่ เซ็นสัญญากับ ดีบาล่า ในปี 2012 เมาริซิโอ ซามปารินี่ บอกกับผู้สื่อข่าวว่า "เด็กคนนี้จะเป็น นิว อเกวโร่"
ดีบาล่า ประเดิมซีซั่นแรกอย่างยากลำบาก เขาทำได้แค่ 3 ประตูจากการลงสนาม 27 นัด และแน่นอนมันไม่เพียงพอที่จะช่วยให้ ปาแลร์โม่ รอดพ้นการตกชั้นในฤดูกาลนั้น
"ผมเริ่มปรับตัวกับฟุตบอล อิตาลี ได้เมื่อตอนเล่นใน เซเรีย บี ผมต้องขอบคุณโค้ช และแฟนบอลที่สนับสนุนผมโดยตลอดแม้ในวันที่ผมเล่นได้ไม่ดีนักก็ตาม"
ดีบาล่า เริ่มสนุกกับการถล่มตาข่ายมากขึ้น เขาจับคู่กับ อันเดรีย เบล็อตติ โดยยิงได้ 15 ประตูจาก 28 นัดที่ลงสนามร่วมกัน พร้อมกับพาทีมเลื่อนชั้นกลับมาสู่ คัมปิโอนาโต้ ได้ภายในปีเดียว
เหมือนลบฝันร้ายจากตอนที่เล่นให้ อินสติตูโต้, ดีบาล่า กลายเป็นขวัญใจของแฟนๆ อย่างเต็มตัว เขาได้รับรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำปีของสโมสร และยังได้เกียรติให้สวมปลอกแขนกัปตันทีมในบางนัดอีกด้วย
เมื่อกลับมาเล่นใน เซเรีย อา อีกครั้ง ดีบาล่า พัฒนาตัวเองขึ้นมาชนิดก้าวกระโดด ยิงได้ 13 ประตู กับอีก 10 แอสซิสต์ พ่วงด้วยรางวัล "ท็อป แอสซิสต์" ของลีกชนิดไร้คู่แข่ง
"ผมส่งข้อความไปหา ออเรลิโอ เดอ เลาเรนติส ( ประธานนาโปลี ) ว่าเด็กคนนี้จะช่วยให้ทีมของเขาได้สคูเด็ตโต้ แต่ไร้สัญญาณตอบรับจากทางนั้น ผมเลยขายเขาให้ ยูเวนตุส แทน" ซามปารินี่ ประธานจอมเขี้ยวย้อนความหลัง
"กับ อินเตอร์ มิลาน ก็เกือบจะเจรจาลุล่วงแล้วนะ แต่พวกเขาติดตรงค่าตัวที่มองว่าสูงเกินไป และกลายเป็นว่ามีแค่ ยูเวนตุส เท่านั้นที่สนใจเขาจริงจัง"
________________________________
- ต่อสู้กับเสียงปรามาส -
"ตลอดชีวิตการเล่นฟุตบอลอาชีพ ผมชอบเสื้อหมายเลข 9 ที่สุด แต่ตอนย้ายมาที่ ยูเวนตุส ผมเลือกหมายเลข 21 เพราะอยากทำให้ได้เหมือน ปิร์โล่ ไอดอลอีกคนของผม"
หลังจากย้ายมาด้วยค่าตัวมหาศาล เสียงปรามาสจากสื่อไทยบางแห่งก็ฟันธงไปแล้วว่านี่จะเป็นการลงทุนที่ล้มเหลวของ ยูเวนตุส แน่ๆ เมื่อมองไปที่สถิติการยิงประตูที่น้อยมากสำหรับผู้เล่นในตำแหน่งกองหน้า
ช่วง 3 เดือนแรก ดีบาล่า แทบไม่ได้ลงสนามให้ ยูเวนตุส เลย ทั้งอาการบาดเจ็บ และทั้งการที่ทีมมีกองหน้าชั้นยอดยืนขวางอยู่หลายราย ไม่ว่าจะเป็น โมราต้า, มานด์ซูคิซ หรือกระทั่ง ซาซ่า
"3 ปีก่อนผมเล่นในดิวิชั่น 2 ของอาร์เจนตินา, 18 เดือนก่อนผมยังเล่นอยู่ใน เซเรีย บี จะให้ผมย้ายมาแล้วเป็นตัวจริงเลยคงไม่มีทาง ผมต้องอดทนรอโอกาสและพิสูจน์ตัวเองให้ได้"
ตอนนั้น ยูเวนตุส ย่ำแย่มาก เพราะผลงานในลีกรูดกราวไปถึงอันดับ 10 และกว่า ดีบาล่า จะเริ่มสอดแทรกตัวจริงได้ก็ปาเข้าไปถึงเดือน มกราคม โน่นเลย
ดีบาล่า จับคู่กับ โมราต้า อย่างยอดเยี่ยม เขายิงได้ถึง 23 ประตูในทุกรายการ และพา ยูเวนตุส กลับขึ้นมาคว้า สคูเด็ตโต้ ไปได้หน้าตาเฉย ขณะที่ฤดูกาลต่อมาเขาก็รับบทบาทเป็น เพลย์เมคเกอร์ ในระบบ 4-2-3-1 แต่ก็ยังอุตส่าห์ยิงได้ถึง 19 ประตู กับอีก 9 แอสซิสต์
เสียงปรามาสจากตอนย้ายมาใหม่ๆ กลืนน้ำลายกลายเป็นเสียงชื่นชมกันทั่วทั้งยุโรป พร้อมกับถือกำเนิดท่าดีใจเฉพาะตัวที่ชื่อว่า "หน้ากากดีบาล่า" อีกต่างหาก
"ทำไมต้องเป็นท่านี้? ผมคิดว่าทุกวันนี้คนเราเจอกับปัญหา และความผิดหวังมากมาย แต่ถึงอย่างไรเมื่อออกศึกเราต้องสวมใส่หน้ากากออกไปสู้เยี่ยงนักรบ แม้ภายใต้หน้ากากจะซ่อนรอยยิ้มหรือความรู้สึกอะไรไว้ก็ตาม"
________________________________
- ต่อสู้อีกครั้งกับโควิด -
กับฤดูกาลปัจจุบัน หลังจากถูกสโมสรขึ้นบัญชีขายตอนซัมเมอร์ ดีบาล่า ได้ต่อสู้ในทีมจนสามารถกลับมายึดตำแหน่งตัวจริงได้สำเร็จ อีกทั้งกำลังอยู่ในฟอร์มที่ยอดเยี่ยมด้วยซ้ำ
แต่ความโชคร้ายก็ยังไม่หมด เพราะเจ้าเชื้อร้าย โควิด-19 ก็ดันโผล่เข้ามาคั่นกลางจนทำให้เกมฟุตบอลต้องหยุดพักไปเสียดื้อๆ และที่โชคร้ายกว่านั้น ดีบาล่า ก็ถูกตรวจพบว่าติดเชื้อร้ายนี้กับเค้าด้วยอีกต่างหาก
เป็นอีกครั้งที่ชีวิตของเขาไม่เคยง่าย
และก็เป็นอีกครั้งที่เจ้า ลา โฮย่า ต้องถลกแขนเสื้อลุกขึ้นแล้วสู้ต่อ
ลา โฮย่า มีความหมายว่า เพชร
และเราก็รู้ว่า ดีบาล่า เป็นเพชรที่อาจไม่ได้เจิดจรัสอย่าง เมสซี่ หรือ โรนัลโด้ แต่ถ้าถามเรื่องความแข็งแกร่งทางจิตใจ
เขาคนนี้ก็แกร่งไม่แพ้ใครในวงการแน่นอน
สนับสนุนโดยเว็บไซต์ Ufabet
|